Technology

SEO on-page คืออะไร และมีหลักการทำงานยังไง

2023-09-28 05:47:28





SEO on-page คืออะไร และมีหลักการทำงานยังไง

SEO On-Page (หรือที่เรียกว่า On-site SEO) คืออะไร เป็นวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของเว็บไซต์ ด้วยการทำให้ search engines ขึ้นผลการค้นหน้าเป็นเนื้อหาเป็นเว็บไซต์ของคุณเป็นอันดับแรก โดยการใช้ลิงก์ภายใน URL แท็กชื่อ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ search engines ค้นพบเนื้อหา วิเคราะห์ว่าเป็นประโยชน์กับผู้ใช้งาน และจะแสดงลงในหน้าแรกสุด


ความแตกต่างระหว่าง On-Page และ Off-Page


On-Page 

Off-Page

เนื้อหาเว็บไซต์

การสร้างลิงก์

keyword

เนื้อหาการตลาด

แท็ก

ที่อยู่ SEO 

หัวข้อ

social media

คำอธิบาย

การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์

URLs

การประชาสัมพันธ์

internal Linking

การแชร์และส่งต่อโดยบุคคลทั่วไป

External Linking

การกล่าวถึงแบรนด์

รูปภาพ


การมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน


ความไวของหน้าเพจ


ตัวอย่างข้อมูลแนะนำ


Schema markup




แล้วทำไม on-pge ถึงสำคัญ

เพราะด้วยตัวของ search engines นั้นใช้ตัวของ Keyword และองค์ประกอบของ SEO บนหน้าเว็บเพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์นั้นตรงกับคำที่ผู้ใช้งานตรงการค้นหาหรือเปล่า ถ้าตรงกับคำตอบที่ต้องการ ก็จะแสดงผลการค้นหาเป็นอันดับแรก ด้วยการวิเคราะห์โดย อัลกอริทึมของ Google จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าต้องมีการสร้างเนื้อหาที่ถูกต้องกับคำตอบซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก


เทคนิคการเพิ่มผล SEO On-Page ขั้นพื้นฐาน

1.เขียนเนื้อหาที่มีประโยชน์และไม่ซ้ำใคร

อย่างแรกเลยต้องมีการใช้ Keyword research เข้ามาช่วยในการวางแผนโดยการตรวจว่า Keyword ที่ต้องการใช้นั้นมีจำนวนการค้นหามากน้อยเท่าไหร่ โดยจะมีคะแนนกำกับถ้าคะแนนเยอะก็จะมีการค้นหาเยอะ ยิ่งเป็น Keyword ยาวเท่าไหร่ ก็จะมีจำนวนการค้นหาน้อยและสามารถจัดอันดับได้ง่าย และเมื่อเลือก Keyword ได้แล้ว ให้นำเข้ามาร่วมกับเนื้อหาให้เป็นธรรมชาติ ตรวจสอบเนื้อหาว่าตรงกับตำตอบและครบถ้วนหรือไม่ เนื้อหาสามารถตอบคำถามได้หรือไม่ เนื้อหาไม่ซ้ำใคร และใส่ภาพประกอบ


2.การวาง Keyword อย่างมีกลยุทธ์

นอกจากการวาง Keyword ไว้ในเนื้อหาแล้ว การจัดลำดับหัวข้อโดยมี Keyword แทรกอยู่ภายใน ซึ่งควรมีอยู่ในสามส่วนหลัก ๆ

-H1

-ย่อหน้าแรก

-หัวข้อย่อย (H2, H3)

ซึ่งสามารถทำให้ Google สามารถเข้าในเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับอะไรและสามารถวิเคราะห์ว่าตรงกับคำตอบของการค้นหาหรือไม่


3.ใช้แท็กที่มี Keyword ที่เยอะ

แท็กชื่อคือส่วนที่อยู่ด้านล่างของหัวข้อในหน้า Google ที่ระบุว่าชื่อเรื่องคืออะไรและแสดงผลการค้นหาใน search engines และนอกจากนี้แท็กชื่อยังมีความสำคัญว่าผู้ใช้จะคลิกเข้าชมหรือไม่


4.ตัวอย่างคำอธิบายเนื้อหา

คือส่วนประกอบหนึ่งที่แสดงในหน้าผลการค้นหาด้านล่างหัวข้อหลัก ซึ่งคำอธิบายนั้นไม่มีผลต่อการแสดงผลเป็นอันดับแรก แต่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้คลิกเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ หาคำอธิบายเนื้อหาไม่ตรงกับคำตอบ Google อาจจะสร้างคำอธิบายให้ และมีแนวทางเพิ่มโอกาสให้ Google ใช้คำอธิบายของเรา

-ตัดทอนคำอธิบายให้ไม่เกิน 120 ตัวอักษร

-มี keyword เดียวกับแท็กอยู่ด้านใน

-ใช้ข้อความที่น่าอ่าน

-เพิ่มประโยคหรือวลีดึงดูดให้คลิก (CTA)


5.ลำดับความสำคัญของเนื้อหา

สามารถทำได้โดยการใช้ H1 ในการกำหนดหัวข้อหลักและใช้ H2, H3 etc. ในการหัวข้อที่สำคัญรอมา เพื่อให้ Google นั้นสามารถเข้าใจในการลำดับความสำคัญของเนื้อหาได้ และส่วนหัวข้อนั้นยังสามารถช่วยให้อัลกอริทึมของ Google นั้นนำเนื้อหาของคุณ ใช้เป็นคำตอบได้ และมีอันดับในการค้นหาเยอะมากขึ้น


6.ปรับ URLs ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด

Google นั้นจะแนะนำให้ URL ที่ง่าย ๆ และดูปลอดภัย โดยสามารถบอกได้ว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร ซึ่งสามารถใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา โดยไม่เป็นตัวเลขแบบสุ่ม วันที่เผยแพร่ หรือประโยคเต็ม


7.เพิ่มลิงก์ภายใน

ลิงก์ภายในหรือไฮเปอร์ลิงก์ที่นำทางไปยังเนื้อหาอื่น ๆ ของคุณ ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO ได้เพราะช่วยให้ search engines นั้นเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ว่าเกี่ยวข้องกับอะไรช่วยให้อัลกอริทึมของ Google พบและสามารถลิงก์ไปยังเนื้อหาได้


8.เพิ่มลิงก์ภายนอก

คือลิงก์ที่นำทางไปอยู่บนเว็บไซต์อื่นส่วนมากจะใช้ในการนำทางไปยังข้อมูลอ้างอิงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และเนื้อหามากขึ้น


9.การเพิ่มรูปภาพ

การมีรูปภาพในเนื้อหาสามารถช่วยเพิ่มโอกาสผ่านทาง Google Images ซึ่งคิดเป็น 23% ของการค้นหาทั้งหมด ในการที่ภายในเนื้อหานั้นมีการแทรกรูปภาพและข้อความแสดงคำอธิบายของภาพ เพื่อให้ Google สามารถค้นพบภาพได้ และสามารถใช้โปรแกรมช่วยในการอ่านคำอธิบายภาพได้ โดยมีเคล็ดลับอยู่ 4 อย่าง ใช้คำที่สั้น มีKeywordที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา อย่าเพิ่มข้อความข้อความอธิบายใต้ภาพและมีคำว่า “ภาพโดย” เพราะมันจะเป็นการสิ้นเปลืองพื้นที่ นอกจากนี้แล้วยังมีการตั้งชื่อไฟล์ให้ตรงกับ Keywoed และบีบอัดภาพเพื่อให้โหลดและแสดงผลไวขึ้น


10.การมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน

Google นั้นอาจจะจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นหน้าแรก ถ้าผู้ใช้งานมีการใช้เวลาในเว็บไซต์มากขึ้น ซึ่งฟังก์ชันของเว็บไซต์และความน่าสนใจของเนื้อหาจะช่วยให้เวลาในการใช้งานเพิ่มมากขึ้น


กลยุทธ์เพิ่มเติม

  • ปรับความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ในแต่ละหน้า
  • ตัวอย่างคำอธิบายที่ตอบคำถามได้ คือส่วนหนึ่งของเนื้อหาและทิ้งท้ายให้เข้าไปอ่านต่อ จะสามารถเพิ่มอัตราการคลิกลิงก์ได้ (CTA) ซึ่งคำตอบต้องกระชับ ตรงกับคำตอบที่ค้นหา และจัดรูปแบบได้เหมาะสม
  • การเพิ่ม Schema markup จะช่วยให้ search engines เข้าใจข้อมูลเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

ร่วมเเสดงความคิดเห็น :