SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหาผ่านเครื่องมือค้นหา เช่น Google เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา การทำ SEO ที่ดีช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการมองเห็นมากขึ้น มาดูกันว่าเราจะเริ่มต้นปรับแต่ง SEO ได้อย่างไรบ้างสำหรับมือใหม่
เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
คีย์เวิร์ดคือคำหรือวลีที่ผู้ใช้มักพิมพ์ในเครื่องมือค้นหา คีย์เวิร์ดที่ดีควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์และเป็นคำที่มีปริมาณการค้นหาสูง
เคล็ดลับในการเลือกคีย์เวิร์ด
- เริ่มต้นด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ: หากคุณทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายรองเท้า ลองนึกถึงคำที่ลูกค้าจะค้นหาให้เจอธุรกิจของคุณเช่น “ซื้อรองเท้าออนไลน์”
- ใช้เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ด: คุณสามารถใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest หรือ Ahrefs เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหามาก
- เลือกคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ: ถ้าเว็บไซต์ของคุณพึ่งเริ่มต้น ให้เลือกคีย์เวิร์ดที่ไม่ยากเกินไปในการแข่งขัน เช่น “รองเท้าผู้ชายราคาไม่แพง” แทนที่จะใช้คำกว้างๆอย่าง “รองเท้า”
การปรับแต่ง On-Page SEO
On-Page SEO คือการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์เพื่อช่วให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้น
องค์ประกอบของ On-Page SEO
- Title Tag (แท็กหัวเรื่อง): หัวเรื่องของแต่ละหน้าควรใส่คีย์เวิร์ดหลักและทำให้สั้น กระชับ และดึงดูด
- Meta Description (คำอธิบายเมตา): เขียนคำอธิบายที่สรุปเนื้อหาของหน้าอย่างชัดเจนและมีคีย์เวิร์ดสำคัญ
- URL: URL ของแต่ละหน้าควรสั้นและใส่คีย์เวิร์ด เช่น www.yourstore.com/รองเท้าผู้ชาย
- Heading Tags (แท็กหัวข้อ): ใช้ H1 สำหรับหัวข้อหลักของหน้า และใช้ H2, H3 สำหรับหัวข้อรองที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา
- เนื้อหา: เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและใส่คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเนื้อหาควรมีความยาวพอเหมาะ (อย่างน้อย 300 คำ) และเน้นการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์แก่ผู้อ่าน
- การเพิ่ม Alt Text: ใส่คำอธิบายรูปภาพ (Alt Text) ที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดเพื่อช่วยให้รูปภาพปรากฏในผลการค้นหารูปภาพ
สร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่ชัดเจน
การจัดโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีช่วยให้เครื่องมือค้นหาและผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายว่าเนื้อหาของเว็บไซต์มีการจัดเรียงอย่างไร และง่ายต่อการนำทาง
เคล็ดลับในการสร้างโครงสร้างที่ดี
- แบ่งหมวดหมู่เนื้อหาให้ชัดเจน: จัดเว็บไซต์ให้มีหมวดหมู่ที่ชัดเจน เช่น หน้าเกี่ยวกับเรา บริการ ผลิตภัณฑ์ และการติดต่อ
- ใช้ Internal Linking: การลิงก์เนื้อหาจากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งในเว็บไซต์ของคุณจะช่วยให้ผู้ใช้และ Google เข้าใจว่าเนื้อหาหน้าไหนมีความสำคัญ
- ใช้ Sitemap: ส่งไฟล์ Sitemap ไปที่ Google Search Console เพื่อให้ Google เขาใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
การทำ Backlink (ลิงก์จากเว็บไซต์อื่น)
การมีลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่น่าเชื่อถือมายังเว็บไซต์ของคุณ (Backlink) เป็นการช่วยเพิ่มคะแนน SEO และทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับสูงขึ้น
เคล็ดลับในการสร้าง Backling
- การเขียนบล็อกเป็นแขกรับเชิญ (Guest Blogging): เขียนบทความในเว็บไซต์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ โดยใส่ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ
- การเข้าร่วมชุมชนออนไลน์: แชร์ลิงก์ในฟอรั่มหรือโซเเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
- การขอรีวิวหรือแนะนำจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ: ขอให้เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องหรือมีอำนาจในอุตสาหกรรมของคุณรีวิวหรือแนะนำสินค้าและบริการ
ใช้เครื่องมือ SEO ฟรีในการติดตามผล
มีเครื่องมือฟรีที่คุณสามารถใช้เพื่อตรวจสอบและปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์
เครื่องมือ SEO ที่แนะนำ
- Google Search Console: เครื่องมือฟรีจาก Google สำหรับติดตามประสิทธิภาพเว็บไซต์ในผลการค้นหาและส่ง Sitemap
- Google Analytics: ใช้เพื่อตรวจสอบการเข้าชมเว็บไซต์และพฤติกรรมของผู้ใช้
- Yoast SEO (สำหรับ WordPress): ปลั๊กอินที่ช่วยให้คุณปรับแต่ง SEO ได้ง่ายๆทั้งการใส่คีย์เวิร์ด การปรับแต่ง Meta Tag และอื่นๆ
การตั้งค่า SEO เบื้องต้นสำหรับมือใหม่ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงแค่เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ปรับแต่งองค์ประกอบบนหน้าเว็บ ปรับแต่ง URL, Title Tag, และ Meta Description ใช้คำหลักในเนื้อหา ทำให้เว็บไซต์มีความเร็วสูง และสร้าง Backlink คุณก็จะสามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการมองเห็นและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในผลการค้นหาบน Google และเพิ่มการเข้าชมอย่างมีประสิทธิภาพ