การสร้างเว็บไซต์ E-commerce : เริ่มต้นง่ายๆแบบมือใหม่

การสร้างเว็บไซต์ E-commerce หรือเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ สำหรับมือใหม่อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่ด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบัน การเริ่มต้นนั้นสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว ในบทความนี้เราจะไปดูกันว่ามือใหม่ควรจะเริ่มต้นอย่างไรในการสร้างเว็บไซต์ E-commerce ที่มีประสิทธิภาพ

เลือกแพลตฟอร์ม E-commerce

การเลือกแพลตฟอร์มเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ E-commerce มีแพลตฟอร์มหลายแบบที่ออกแบบมาเพื่อการขายของออนไลน์โดยเฉพาะ แต่ละแพลตฟอร์มมีความง่ายในการใช้งานและฟีเจอร์ที่ต่างกัน

แพลตฟอร์มที่นิยม

• Shopify: แพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับ E-commerce ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ มีเทมเพลตและฟีเจอร์สำเร็จรูปมากมาย รองรับการชำระเงินและการจัดส่งสินค้าอย่างครบถ้วน
• WooCommerce: ปลั๊กอิน E-commerce สำหรับ WordPress ใช้งานฟรีและมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีเว็บไซต์ WordPress อยู่แล้ว
• Wix E-commerce: แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่รองรับ E-commerce เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการออกแบบที่ง่ายและมีความสร้างสรรค์
• BigCommerce: เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ มีฟีเจอร์ครบครันสำหรับการขยายธุรกิจ

จดชื่อโดเมนและโฮสติ้ง

โดเมนคือชื่อที่ลูกค้าจะพิมพ์เพื่อเข้าชมร้านของคุณ เช่น www.yourstore.com การเลือกชื่อโดเมนที่สั้นและจำง่ายเป็นสิ่งสำคัญ คุณสามารถจดชื่อโดเมนผ่านผู้ให้บริการเช่น GoDaddy หรือ Namecheap หรือใช้บริการจดโดเมนที่รวมกับแพลตฟอร์ม E-commerce

สำหรับโฮสติ้ง ถ้าเลือกใช้ Shopify หรือ Wix โฮสติ้งจะถูรวมอยู่ในแพลตฟอร์มอยู่แล้ว แต่ถ้าใช้ WooCommerce คุณจะต้างหาโฮสติ้งเองจากผู้ให้บริการเช่น Bluehost หรือ SiteGround

ออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามและใช้งานง่าย

การออกแบบเว็บไซต์ E-commerce ควรเน้นไปที่ความสวยงามและการใช้งานที่ง่าย ทำให้ลูกค้าสามารถค้นหาและสามารถเลือกซื้อสินค้าได้สะดวก

เคล็ดลับการออกแบบ

• ใช้เทมเพลต E-commerce สำเร็จรูป: แพลตฟอร์ม E-commerce มักมีเทมเพลตให้เลือกใช้ ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ง่าย
• จัดหมวดหมู่สินค้าอย่างชัดเจน: แบ่งสินค้าของคุณออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้ง่าย
• ใช้ภาพสินค้าคุณภาพสูง: ภาพสินค้าที่สวยงามและคมชัดช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย
• เน้นความเป็นมิตรต่ออุปกรณ์มือถือ: เว็บไซต์ควรรองรับการใช้งานบนมือถือ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเลือกซื้อสินค้าผ่านมือถือ

ตั้งค่าระบบการชำระเงิน

การเลือกวิธีชำระเงินที่หลากหลายและปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญในเว็บไซต์ E-commerce คุณสามารถเชื่อมต่อเว็บไซต์ของคุณกับบริการชำระเงินที่เป็นที่นิยม เช่น

• PayPal: รองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
• Stripe: ระบบชำระเงินที่รองรับบัตรเครดิตหลายประเภท
• บริการธนาคารออนไลน์ในประเทศ: สำหรับร้านค้าในประเทศไทย สามารถเชื่อมต่อกับบริการธนาคารในประเทศหรือ QR Code เพื่อรับการชำระเงิน

ตั้งค่าการจัดส่งสินค้า

การจัดส่งสินค้าเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญ ควรเลือกวิธีการจัดส่งที่สะดวกและมีต้นทุนที่เหมาะสม แพลตฟอร์ม E-commerce หลายแห่งมีการเชื่อมต่อกับบริการจัดส่งสินค้าอัตโนมัติอยู่แล้ว เช่น DHL, FedEx หรือ ไปรษณีย์ไทย

เคล็ดลับในการจัดการการจัดส่ง

• คำนวณค่าจัดส่งตามน้ำหนักและขนาด: ตั้งค่าการจัดส่งตามน้ำหนักหรือขนาดของสินค้า เพื่อให้การคิดค่าจัดส่งเป็นธรรม
• เสนอการจัดส่งฟรี: เสนอการจัดส่งฟรีสำหรับการสั่งซื้อที่มียอดถึงจำนวนที่กำหนดเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าเพิ่ม

เพิ่มเนื้อหาแลละข้อมูลสินค้า

การเขียนคำอธิบายสินค้าที่ชัดเจนและน่าสนใจจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเพิ่มข้อมูลที่สำคัญ เช่น ขนาด สี วัสดุ และคุณสมบัติอื่นๆ

เคล็ดลับในการเขียนข้อมูลสินค้า

• คำอธิบายที่ชัดเจนและตรงประเด็น: บอกคุณสมบัติที่สำคัญของสินค้า และระบุรายละเอียดที่ลูกค้าต้องการทราบ
• ใช้ภาพและวิดีโอ: นอกจากภาพสินค้าแล้ว การเพิ่มวิดีโอรีวิวหรือการใช้งานสินค้าจะช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนขึ้น

การทำการตลาดออนไลน์

การทำการตลาดออนไลน์จะช่วยให้ลูกค้าพบเห็นเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น คุณสามารถใช้เครื่องมือต่างๆในการโปรโมทเว็บไซต์ เช่น

• SEO (Search Engine Optimization): ปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับผลการค้นหาของ Google
• Social Media Marketing: ใช้โซเชียลมีเดียเช่น Facebook, Instagram หรือ Line ในการโปรโมืสินค้าของคุณ
• Google Ads และ Facebook Ads: ลงโฆษณาเพื่อเพิ่มทราฟฟิกและยอดขายให้กับเว็บไซต์

การสร้างเว็บไซต์ E-commerce สำหรับมือใหม่ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงแค่เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม ตั้งค่าระบบชำระเงินและการจัดส่งให้ครบถ้วน และออกแบบเว็บไซต์ให้น่าใช้งาน เท่านี้คุณก็สามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและดูเป็นมืออาชีพได้แล้ว