Ethereum 2.0 หรือ Eth2 คือการอัปเกรดครั้งสำคัญของเครือข่าย Ethereum ที่พัฒนาขึ้นเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการขยายระบบ เพื่อรองรับการใช้งานที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงหลักของ Ethereum 2.0 คือการเปลี่ยนจากกลไกการตรวจสอบแบบ Proof of Work (PoW) ที่ใช้พลังงานสูงไปสู่ระบบใหม่คือ Proof of Stake (PoS) ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
![](https://api.def.co.th/uploads/content/content_d53308e1f133d8b65b37ba34221a5607.jpg)
ทำความรู้จัก Ethereum 2.0
Ethereum 2.0 หรือที่เรียกว่า “The Merge” เป็นการอัปเกรดระบบเครือข่ายที่เริ่มทยอยเปิดตัวตั้งแต่ปี 2020 แบ่งออกเป็นหลายเฟส เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีประสิทธิภาพและราบรื่นมากขึ้น โดยมีการปรับปรุงที่สำคัญได้แก่
- การเปลี่ยนจาก Proof of Work (PoW) เป็น Proof of Stake (PoS): เปลี่ยนวิธีการยืนยันธุรกรรมจากการใช้พลังงานในการขุด มาเป็นการใช้เหรียญ ETH เพื่อคัดเลือกผู้ตรวจสอบ
- การปรับปรุงความสามารถในการรองรับธุรกรรม (Scalability): เพิ่มความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมที่เร็วขึ้นและรองรับจำนวนผู้ใช้ที่มากขึ้น
- การลดการใช้พลังงาน: PoS ใช้พลังงานน้อยกว่า PoW อย่างมาก จึงทำให้ Ethereum 2.0 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
Proof of Stake (PoS) คืออะไร?
Proof of Stake (PoS) เป็นกลไกการตรวจสอบธุรกรรมที่ลดการใช้พลังงานลงโดยไม่ต้องใช้เครื่องขุด เพียงแค่ผู้ตรวจสอบ (Validator) ทำการล็อกเหรียญ ETH ไว้ในระบบ ก็จะมีสิทธิ์ในการตรวจสอบและเพิ่มบล็อกใหม่เข้าไปในบล็อกเชน ซึ่ง PoS จะสุ่มเลือก Validator โดยอิงตามจำนวนเหรียญที่ล็อกไว้และระยะเวลาในการถือครอง ส่งผลให้การใช้งานทรัพยากรและพลังงานลดลงอย่างมหาศาล
ข้อดีของ Proof of Stake (PoS):
- ประหยัดพลังงานมากขึ้น: PoS ลดความจำเป็นในการใช้พลังงานและฮาร์ดแวร์ ทำให้ Ethereum เป็นระบบที่รักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- มีความยืดหยุ่นและรวดเร็ว: การประมวลผลธุรกรรมเร็วขึ้นและรองรับการใช้งานที่หลากหลาย
- การมีส่วนร่วมที่เปิดกว้างขึ้น: การเป็น Validator ในระบบ PoS ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องขุดที่มีต้นทุนสูง แต่ต้องมีการล็อกเหรียญ ETH แทน ซึ่งทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ง่ายขึ้น
การอัปเกรด Ethereum 2.0 ในแต่ละเฟส
Ethereum 2.0 มีการแบ่งการอัปเกรดออกเป็น 3 เฟสหลัก ได้แก่
- Phase 0 – Beacon Chain: เปิดตัวในปี 2020 เพื่อแนะนำ Beacon Chain ซึ่งเป็นบล็อกเชน PoS โดยทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการจัดการเครือข่าย PoS และการตรวจสอบธุรกรรม
- Phase 1 – Shard Chains: เป็นการแบ่งบล็อกเชนออกเป็นหลาย ๆ ชิ้นส่วนหรือ Shards เพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมได้พร้อมกันหลายส่วน รองรับจำนวนผู้ใช้งานและธุรกรรมมากขึ้น
- Phase 2 – The Merge and Beyond: เฟสสุดท้ายนี้คือการรวม Beacon Chain กับเครือข่ายหลัก Ethereum ทำให้ระบบทั้งหมดเปลี่ยนมาใช้ PoS อย่างสมบูรณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับเครือข่ายอีกด้วย
ข้อดีของ Ethereum 2.0
Ethereum 2.0 มาพร้อมข้อดีที่ชัดเจนทั้งในด้านการประหยัดพลังงานและความสามารถในการรองรับการใช้งานที่กว้างขึ้น ดังนี้:
- ลดการใช้พลังงาน: PoS ช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 99% เมื่อเทียบกับ PoW
- การประมวลผลที่เร็วขึ้น: ด้วยการแบ่งเป็น Shard Chains ทำให้ Ethereum 2.0 สามารถรองรับธุรกรรมจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
- ปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น: PoS เพิ่มความปลอดภัยของเครือข่ายด้วยการกระจายผู้ตรวจสอบให้กว้างขวางกว่าเดิม ทำให้การโจมตีเครือข่ายทำได้ยากขึ้น
- ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมลดลง: ระบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมในระยะยาว
ความท้าทายและข้อจำกัดของ Ethereum 2.0
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ Ethereum 2.0 ก็ยังมีความท้าทาย เช่น
- ความซับซ้อนในการอัปเกรด: การอัปเกรดเครือข่ายขนาดใหญ่เช่น Ethereum ต้องใช้เวลานานและต้องตรวจสอบอย่างละเอียด
- การปรับตัวของผู้ใช้และนักพัฒนา: PoS เป็นแนวคิดที่แตกต่างจาก PoW ผู้ใช้และนักพัฒนาจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่
- การล็อกเหรียญ (Staking): ผู้ที่ต้องการเป็น Validator ต้องล็อกเหรียญไว้ในระบบ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีทุนจำกัด
![](https://api.def.co.th/uploads/content/content_a73f35bd5ed6f9de779f78cf08878252.png)
Ethereum 2.0 เป็นการอัปเกรดสำคัญที่ทำให้ Ethereum พัฒนาไปอีกขั้น ด้วยระบบ Proof of Stake ที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแค่ช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ยังเพิ่มความสามารถในการรองรับธุรกรรมและความปลอดภัยของระบบ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนในการอัปเกรดและการปรับตัวของผู้ใช้งานก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง