Ethereum 2.0 หรือ Eth2 คือการอัปเกรดครั้งสำคัญของเครือข่าย Ethereum ที่พัฒนาขึ้นเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสามารถในการขยายระบบ เพื่อรองรับการใช้งานที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงหลักของ Ethereum 2.0 คือการเปลี่ยนจากกลไกการตรวจสอบแบบ Proof of Work (PoW) ที่ใช้พลังงานสูงไปสู่ระบบใหม่คือ Proof of Stake (PoS) ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ทำความรู้จัก Ethereum 2.0
Ethereum 2.0 หรือที่เรียกว่า “The Merge” เป็นการอัปเกรดระบบเครือข่ายที่เริ่มทยอยเปิดตัวตั้งแต่ปี 2020 แบ่งออกเป็นหลายเฟส เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีประสิทธิภาพและราบรื่นมากขึ้น โดยมีการปรับปรุงที่สำคัญได้แก่
- การเปลี่ยนจาก Proof of Work (PoW) เป็น Proof of Stake (PoS): เปลี่ยนวิธีการยืนยันธุรกรรมจากการใช้พลังงานในการขุด มาเป็นการใช้เหรียญ ETH เพื่อคัดเลือกผู้ตรวจสอบ
- การปรับปรุงความสามารถในการรองรับธุรกรรม (Scalability): เพิ่มความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมที่เร็วขึ้นและรองรับจำนวนผู้ใช้ที่มากขึ้น
- การลดการใช้พลังงาน: PoS ใช้พลังงานน้อยกว่า PoW อย่างมาก จึงทำให้ Ethereum 2.0 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
Proof of Stake (PoS) คืออะไร?
Proof of Stake (PoS) เป็นกลไกการตรวจสอบธุรกรรมที่ลดการใช้พลังงานลงโดยไม่ต้องใช้เครื่องขุด เพียงแค่ผู้ตรวจสอบ (Validator) ทำการล็อกเหรียญ ETH ไว้ในระบบ ก็จะมีสิทธิ์ในการตรวจสอบและเพิ่มบล็อกใหม่เข้าไปในบล็อกเชน ซึ่ง PoS จะสุ่มเลือก Validator โดยอิงตามจำนวนเหรียญที่ล็อกไว้และระยะเวลาในการถือครอง ส่งผลให้การใช้งานทรัพยากรและพลังงานลดลงอย่างมหาศาล
ข้อดีของ Proof of Stake (PoS):
- ประหยัดพลังงานมากขึ้น: PoS ลดความจำเป็นในการใช้พลังงานและฮาร์ดแวร์ ทำให้ Ethereum เป็นระบบที่รักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- มีความยืดหยุ่นและรวดเร็ว: การประมวลผลธุรกรรมเร็วขึ้นและรองรับการใช้งานที่หลากหลาย
- การมีส่วนร่วมที่เปิดกว้างขึ้น: การเป็น Validator ในระบบ PoS ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องขุดที่มีต้นทุนสูง แต่ต้องมีการล็อกเหรียญ ETH แทน ซึ่งทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ง่ายขึ้น
การอัปเกรด Ethereum 2.0 ในแต่ละเฟส
Ethereum 2.0 มีการแบ่งการอัปเกรดออกเป็น 3 เฟสหลัก ได้แก่
- Phase 0 – Beacon Chain: เปิดตัวในปี 2020 เพื่อแนะนำ Beacon Chain ซึ่งเป็นบล็อกเชน PoS โดยทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการจัดการเครือข่าย PoS และการตรวจสอบธุรกรรม
- Phase 1 – Shard Chains: เป็นการแบ่งบล็อกเชนออกเป็นหลาย ๆ ชิ้นส่วนหรือ Shards เพื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมได้พร้อมกันหลายส่วน รองรับจำนวนผู้ใช้งานและธุรกรรมมากขึ้น
- Phase 2 – The Merge and Beyond: เฟสสุดท้ายนี้คือการรวม Beacon Chain กับเครือข่ายหลัก Ethereum ทำให้ระบบทั้งหมดเปลี่ยนมาใช้ PoS อย่างสมบูรณ์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับเครือข่ายอีกด้วย
ข้อดีของ Ethereum 2.0
Ethereum 2.0 มาพร้อมข้อดีที่ชัดเจนทั้งในด้านการประหยัดพลังงานและความสามารถในการรองรับการใช้งานที่กว้างขึ้น ดังนี้:
- ลดการใช้พลังงาน: PoS ช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 99% เมื่อเทียบกับ PoW
- การประมวลผลที่เร็วขึ้น: ด้วยการแบ่งเป็น Shard Chains ทำให้ Ethereum 2.0 สามารถรองรับธุรกรรมจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
- ปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น: PoS เพิ่มความปลอดภัยของเครือข่ายด้วยการกระจายผู้ตรวจสอบให้กว้างขวางกว่าเดิม ทำให้การโจมตีเครือข่ายทำได้ยากขึ้น
- ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมลดลง: ระบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจะลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมในระยะยาว
ความท้าทายและข้อจำกัดของ Ethereum 2.0
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ Ethereum 2.0 ก็ยังมีความท้าทาย เช่น
- ความซับซ้อนในการอัปเกรด: การอัปเกรดเครือข่ายขนาดใหญ่เช่น Ethereum ต้องใช้เวลานานและต้องตรวจสอบอย่างละเอียด
- การปรับตัวของผู้ใช้และนักพัฒนา: PoS เป็นแนวคิดที่แตกต่างจาก PoW ผู้ใช้และนักพัฒนาจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่
- การล็อกเหรียญ (Staking): ผู้ที่ต้องการเป็น Validator ต้องล็อกเหรียญไว้ในระบบ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีทุนจำกัด
Ethereum 2.0 เป็นการอัปเกรดสำคัญที่ทำให้ Ethereum พัฒนาไปอีกขั้น ด้วยระบบ Proof of Stake ที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแค่ช่วยลดการใช้พลังงาน แต่ยังเพิ่มความสามารถในการรองรับธุรกรรมและความปลอดภัยของระบบ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนในการอัปเกรดและการปรับตัวของผู้ใช้งานก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง