2023-11-13 10:23:08
จิตวิทยาในการออกแบบเว็บไซต์เป็นหัวข้อที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างมาก การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีไม่ได้เน้นเฉพาะเรื่องความสวยงามและความทันสมัยเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความสะดวกใช้งาน ความน่าเชื่อถือ และความพึงพอใจของผู้ใช้งานด้วย การเข้าใจจิตวิทยาของผู้ใช้งานจะช่วยให้ผู้ออกแบบเว็บไซต์สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีและเหมาะสมกับเป้าหมายของเว็บไซต์ได้
บทความนี้จะแนะนำหลักการและเทคนิคทางจิตวิทยาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบเว็บไซต์ได้ โดยมีเนื้อหาดังนี้
- การใช้สีและรูปทรงในการสร้างอารมณ์และความรู้สึก
- การใช้หลักการ Gestalt ในการจัดวางและจัดกลุ่มข้อมูล
- การใช้หลักการ Fitts’ Law และ Hick’s Law ในการออกแบบปุ่มและเมนู
- การใช้หลักการ Jakob’s Law และ Nielsen’s Heuristics ในการสร้างความน่าเชื่อถือและความสะดวกใช้งาน
- การใช้หลักการ Scarcity และ Social Proof ในการสร้างความต้องการและความเชื่อมั่น
การใช้สีและรูปทรงในการสร้างอารมณ์และความรู้สึก
สีและรูปทรงเป็นส่วนสำคัญของการออกแบบเว็บไซต์ที่สามารถส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้ใช้งานได้ การเลือกสีและรูปทรงที่เหมาะสมกับเนื้อหาและเป้าหมายของเว็บไซต์จะช่วยให้ผู้ใช้งานรับรู้และตอบสนองต่อเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น สีแดงมักถูกใช้ในการสร้างความร้อนแรง ความเร่งด่วน หรือความเสี่ยง สีเขียวมักถูกใช้ในการสร้างความสดชื่น ความเป็นธรรมชาติ หรือความเป็นมิตร สีน้ำเงินมักถูกใช้ในการสร้างความเย็น ความสงบ หรือความน่าเชื่อถือ สีเหลืองมักถูกใช้ในการสร้างความสนุก ความร่าเริง หรือความโดดเด่น
รูปทรงก็มีผลต่อความรู้สึกของผู้ใช้งานได้เช่นกัน รูปทรงที่มีมุมแหลมมักถูกใช้ในการสร้างความแข็งแรง ความเป็นเลิศ หรือความท้าทาย รูปทรงที่มีมุมมนมักถูกใช้ในการสร้างความนุ่มนวล ความอ่อนโยน หรือความสมดุล
ผู้ออกแบบเว็บไซต์ควรศึกษาและทดสอบสีและรูปทรงที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ และใช้สีและรูปทรงอย่างมีเหตุผลและมีความหมาย ไม่ควรใช้สีและรูปทรงอย่างสุ่มเป็นอันดับแรก หรือใช้สีและรูปทรงที่มีความขัดแย้งหรือความคลุมเครือกับเนื้อหาหรือเป้าหมายของเว็บไซต์
หลักการ Gestalt ในการจัดวางและจัดกลุ่มข้อมูล
เป็นหลักการที่อธิบายว่าสมองมนุษย์มีแนวโน้มในการมองภาพรวมของสิ่งต่างๆ ก่อนที่จะมองรายละเอียด เพื่อให้การรับรู้ภาพเป็นไปอย่างมีความหมายและมีความสัมพันธ์กัน หลักการ Gestalt มีหลายประเภท แต่ในบทความนี้จะเน้นไปที่ 4 ประเภทที่สำคัญ ได้แก่
- ความใกล้ชิด (Proximity): สมองมนุษย์จะมองวัตถุที่อยู่ใกล้กันเป็นกลุ่มเดียวกัน และมีความเกี่ยวข้องกัน ดังนั้น การจัดวางข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันให้อยู่ใกล้กัน จะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์ของ Skilldee ข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สเรียนออนไลน์ที่มีหมวดหมู่เดียวกัน จะถูกจัดวางให้อยู่ใกล้กัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกคอร์สที่สนใจได้ง่ายขึ้น
- ความคล้ายกัน (Similarity): สมองมนุษย์จะมองวัตถุที่มีความคล้ายกันในเชิงสี รูปร่าง ขนาด หรือการเรียงตัว เป็นกลุ่มเดียวกัน ดังนั้น การใช้ความคล้ายกันในการแสดงข้อมูลที่มีความเหมือนกัน จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจำแนกและจับคู่ข้อมูลได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์ของ MagGang ข้อมูลเกี่ยวกับบทความที่มีหมวดหมู่เดียวกัน จะถูกแสดงด้วยสีที่เหมือนกัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรู้ได้ว่าบทความไหนเป็นของหมวดหมู่ไหน
- การปกปิด (Closure): สมองมนุษย์จะมองวัตถุที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ชัดเจน เป็นวัตถุที่สมบูรณ์และชัดเจน โดยใช้ความคุ้นเคยหรือความคาดหวังในการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ดังนั้น การใช้การปกปิดในการแสดงข้อมูลที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับรู้ข้อมูลได้เร็วขึ้น และลดความซับซ้อนของการออกแบบ ตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์ของ Medium ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียนบทความ จะถูกปกปิดไว้บางส่วน และแสดงเฉพาะเมื่อผู้ใช้งานเลื่อนเมาส์ไปที่รูปภาพของผู้เขียน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเห็นข้อมูลที่สำคัญก่อน และเลือกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามต้องการ
- ความสืบต่อกัน (Continuity): สมองมนุษย์จะมองวัตถุที่มีการเรียงตัวหรือการเชื่อมต่อกัน เป็นวัตถุที่มีความสัมพันธ์กัน และมีความต่อเนื่องกัน ดังนั้น การใช้ความสืบต่อกันในการแสดงข้อมูลที่มีลำดับหรือขั้นตอน จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามและเข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์ของ UI Blogazine ข้อมูลเกี่ยวกับบทความที่มีลำดับหรือขั้นตอน จะถูกแสดงด้วยเลขหรือสัญลักษณ์ที่มีการเชื่อมต่อกัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรับรู้ความสัมพันธ์และความต่อเนื่องของข้อมูลได้ชัดเจน
หลักการ Jakob’s Law และ Nielsen’s Heuristics
เป็นหลักการที่ช่วยให้ผู้ออกแบบเว็บไซต์สามารถสร้างความน่าเชื่อถือและความสะดวกใช้งานให้กับผู้ใช้งานได้ โดยมีความหมายดังนี้
- Jakob’s Law คือหลักการที่อธิบายว่าผู้ใช้งานมีแนวโน้มในการคาดหวังการทำงานของเว็บไซต์จากประสบการณ์ที่เคยใช้งานเว็บไซต์อื่น ๆ แล้ว ดังนั้น ผู้ออกแบบเว็บไซต์ควรปฏิบัติตามมาตรฐานหรือแนวทางที่เป็นที่รับรู้ของผู้ใช้งาน ไม่ควรใช้ภาษา สัญลักษณ์ หรือการออกแบบที่ผิดปกติหรือน่าสับสน ตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์ของ Lazada ผู้ใช้งานสามารถเห็นไอคอนรถเข็นสินค้า และไอคอนหัวใจที่แสดงจำนวนสินค้าที่เลือกหรือชื่นชอบไว้ ซึ่งเป็นการออกแบบที่สอดคล้องกับเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีฟังก์ชันการซื้อขายออนไลน์
- Nielsen’s Heuristics คือหลักการที่อธิบายว่าผู้ใช้งานมีความพึงพอใจและความสะดวกใช้งานเมื่อเว็บไซต์มีการออกแบบที่เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของผู้ใช้งาน ดังนั้น ผู้ออกแบบเว็บไซต์ควรปฏิบัติตามหลักการที่มี 10 ข้อ ได้แก่
- การแสดงสถานะของระบบ (Visibility of System Status)
- การประสานระหว่างระบบและโลกความเป็นจริง (Match Between System and the Real World)
- การให้ผู้ใช้งานมีอิสระและทางออก (User Control and Freedom)
- การมีความสม่ำเสมอและปฏิบัติตามมาตรฐาน (Consistency and Standards)
- การป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด (Error Prevention)
- การให้ผู้ใช้งานรู้จักแทนที่จะต้องจำ (Recognition Rather Than Recall)
- การมีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการใช้งาน (Flexibility and Efficiency of Use)
- การมีความสวยงามและเรียบง่าย (Aesthetic and Minimalist Design)
- การช่วยผู้ใช้งานรู้จัก วินิจฉัย และกู้คืนจากข้อผิดพลาด (Help Users Recognize, Diagnose, and Recover from Errors)
- การมีคู่มือการใช้งานและความช่วยเหลือ (Help and Documentation)
การใช้หลักการ Scarcity และ Social Proof ในการสร้างความต้องการและความเชื่อมั่น เป็นหลักการที่มีประโยชน์สำหรับผู้ออกแบบเว็บไซต์ โดยมีความหมายดังนี้
- Scarcity คือหลักการที่อธิบายว่าผู้ใช้งานมีแนวโน้มในการตอบสนองต่อสิ่งที่มีจำนวนจำกัด หรือมีความหายาก ด้วยการเพิ่มความต้องการ หรือความรู้สึกว่าไม่อยากพลาดโอกาส ดังนั้น ผู้ออกแบบเว็บไซต์ควรใช้ Scarcity เพื่อสร้างความกระตือรือร้นให้กับผู้ใช้งาน โดยอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การแสดงจำนวนสินค้าที่เหลือ การนับถอยหลังเวลา การให้ส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษ หรือการแสดงความนิยมของสินค้า ตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์ของ Booking.com จะมีการแสดง Scarcity ด้วยการบอกว่าห้องพักเหลือเพียงไม่กี่ห้อง หรือมีผู้คนกำลังดูห้องพักเดียวกันอยู่หลายคน ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกต้องรีบจองห้องพักก่อนหมด
- Social Proof คือหลักการที่อธิบายว่าผู้ใช้งานมีแนวโน้มในการเชื่อใจกับความคิดเห็นของผู้อื่นในสังคม และปล่อยให้ความคิดเห็นนั้นส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจ ดังนั้น ผู้ออกแบบเว็บไซต์ควรใช้ Social Proof เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน โดยอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การแสดงการรับรอง การแสดงการใช้สื่อ การแสดงความนิยม การแสดงความเห็น การแสดงความชอบ หรือการแสดงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์ของ Lazada จะมีการแสดง Social Proof ด้วยการบอกว่าสินค้าไหนขายดี มีการให้คะแนนและรีวิวจากผู้ซื้อ หรือมีการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าสินค้านั้นมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ
2024-06-10 03:19:31
2024-05-31 03:06:49
2024-05-28 03:09:25
2024-05-24 11:26:00
บทความที่น่าสนใจอื่นๆยังมีอีกมากลองเลืือกดูจากด้านล่างนี้ได้นะครับ
2024-08-06 04:19:32
2024-03-01 05:14:33
2024-06-10 11:37:20
2024-03-08 04:03:12
2023-10-26 05:02:33
2024-04-12 09:43:20
2024-09-04 10:37:04
2023-11-09 03:02:23
2023-10-25 05:16:47